Web Design by Softbiz+
|
เว็บนี้ สร้างด้วย Joomla! 1.5 โดย ทีมงานซอฟท์บิส+ update11.11.2014 |
ประหยัดภาษี ในธุรกิจแมนชั่นและอพาร์ทเมนต์ได้อย่างไร |
ในยุดที่ประชากรของประเทศเพิ่มขึ้น แต่พื้นที่ของประเทศเท่าเดิม ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น จึงเป็นเหตุให้ ที่ดิน บ้าน คอนโด มีราคาแพงขึ้น เป็นเหตุให้คนทำงาน หรือที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายต้องพึ่งพาการเช่าที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ เพราะสะดวกจะเข้าออกเมื่อไรก็ได้ จึงเกิดธุรกิจแมนชั่น และอพาร์ทเมนต์ ขึ้นมากมายในปัจจุบัน
แต่คนที่ทำธุรกิจแมนชั่นและอพาร์ทเมนต์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบผลสำเร็จทุกคนเสมอไป อยู่ที่ว่าใครจะสามารถบริหารกิจการให้มีรายได้มากกว่ารายจ่าย และปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับรายได้ก็คือ ภาษี ซึ่งเป็นตัวสำคัญตัวหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจแมนชั่นและอพาร์ทเมนต์ มีรายได้มากกว่ารายจ่ายหรือไม่ จึงมีคำถามเสมอว่าธุรกิจแมนชั่น และอพาร์ทเมนต์นั้น มีการวางแผนภาษีอย่างไร จึงทำให้ประหยัดภาษี และเสียภาษีได้ถูกต้องตามกฎหมาย ธุรกิจแมนชั่นและอพาร์ทเมนต์มีภาษีที่เกี่ยวข้อง อยู่ 3 ตัวภาษี คือ 1.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน 2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.ภาษีเงินได้นิติบุคคล
1. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน หมายถึงภาษี ที่เรียกเก็บจากรายได้ค่าเช่าห้องในอัตราร้อยละ12.5 ของค่าเช่าห้อง ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่สูง
ฉะนั้นเพื่อเป็นการประหยัดภาษีโรงเรือนและที่ดิน จึงมีการวางแผนภาษีโดยการแยกสัญญาออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาเช่าห้อง สัญญาให้บริการเฟอร์นิเจอร์
ถึงแม้ว่าการแยกสัญญาให้บริการออกจากค่าเช่า ทำให้รายได้ส่วนค่าบริการต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 7 ก็ตาม แต่เมื่อคำนวณแล้วจะทำให้ประหยัดภาษีโรงเรือนและที่ดินได้ถึงร้อยละ 5.5 ของอัตราภาษี
ตัวอย่าง
กรณีที่ 1 ทำสัญญาเช่าห้องอย่างเดียว ค่าเช่า ห้องละ 6,000 บาทต่อเดือน มีทั้งหมดจำนวน 30 ห้อง
ฉะนั้นหากนำคิดคำนวณภาษีโรงเรือนและที่ดินทั้งปี จะได้ = 6,000 X 30 ห้อง X 12 เดือน X 12.5 % = 270,000 บาท
กรณีที่ 2 แยกสัญญาเช่า และสัญญาให้บริการ
โดยค่าเช่าห้องละ 3,000 บาทแส่วนค่าให้ค่าบริการห้องละ 3,000 บาท มีทั้งหมดจำนวน 30 ห้อง
ฉะนั้นหากนำคิดคำนวณภาษีโรงเรือนและที่ดินต่อปี = 3,000 X 30 ห้องX 12 เดือนX 12.5 % = 135,000 บาท
ส่วนสัญญาให้บริการหากนำมาคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าบริการ =3,000 X30 ห้อง X 12 เดือน X 7 % = 75,600 บาท
รวมภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ต้องชำระเป็นเงิน 135,000+75,600 = 210,600 บาท
จะเห็นได้ว่าถ้าเลือกวิธีที่ 2 ทำให้ท่านสามารถประหยัดภาษีได้จำนวน 59,400 บาท
2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ภาษีที่เรียกเก็บจาก การให้บริการ ค่าเช่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าบริการ ค่าน้ำ ค่าไฟ หากรวมรายได้เกินปีละ 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีข้อดีก็คือ สามารถนำภาษีซื้อจากค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการมาหักออกจากภาษีขายที่เรียกเก็บจากผู้เช่าได้
3.ภาษีเงินได้นิติบุคคล หมายถึง กรณีที่ทำกิจการในนามของนิติบุคคล ซึ่งในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของ บริษัทฯ ต้องปรับปรุงรายการกำไร (ขาดทุน) สุทธิทางบัญชีเพื่อให้เป็นกำไร(ขาดทุน) ทางภาษี ก่อน แล้วจึงคูณด้วยอัตราภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งปกติ แล้วอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30% ของกำไรสุทธิ แต่ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมารัฐบาลได้มีนโยบายเพื่อบรรเทาภาระภาษีให้กับธุรกิจขนาดเล็ก(กิจการขนาดเล็ก คือ ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นในรอบระยะ เวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้นไป)โดยให้เสียภาษีจากกำไรสุทธิ เป็นอัตราแบบขั้นบันได คือ
กำไรสุทธิส่วนที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ชำระภาษีในอัตราร้อยละ 15
กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 1 ล้าน แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ชำระภาษีในอัตราร้อยละ 25
กำไรสุทธิส่วนทีเกิน 3 ล้านบาทขึ้นไปเสียภาษีในอัตราปกติ คือ ร้อยละ 30
จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นหากเรารู้จักการวางแผนภาษีแล้ว ก็จะทำให้เราประหยัดภาษีไปได้มาก นั้นก็หมายความว่าทำให้ธุรกิจเรามีกำไรมากขึ้น รู้แล้วก็นำไปใช้ในธุรกิจของท่านแล้วกันนะครับ
ฉบับเดือนกันยายน - ตุลาคม 2552
|