ปรเมศวร์ มินศิริ "ต้นแบบคนไอที"
ปรเมศวร์ มินศิริ นับเป็น "ต้นแบบ" ของคนหนุ่มสาวในสายงานไอที ที่ต้องการใช้ระยะเวลาอันสั้น เพื่อเก็บเกี่ยวความสำเร็จ ทั้งด้านชื่อเสียงและตัวเงิน
หลังจากที่ บริษัท เอ็มเวบ ประเทศไทย เข้าซื้อ sanook.com นอกจาก "ปรเมศวร์" ได้กลายเป็นเศรษฐี ในพริบตา เขายังผัน ตัวเองจาก "Idea Man" เจ้าของ เวบไซต์ คอมมูนิตี้ มานั่ง ในตำแหน่ง รองประธาน ฝ่ายกลยุทธิ์ บริษัท เอ็มเว็บ (ประเทศไทย) ปรเมศวร์ แนะนำ คนที่ สนใจ เข้าสู่ ตลาดแรงงาน ด้านไอที ว่า คุณสมบัติ ประการแรก จะต้องเป็นคนที่ชอบงานด้านนี้ เพราะความรู้ ด้านไอที เป็นความรู้ ที่ไม่อยู่นิ่ง ทั้งยัง มีการ เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม อยู่ตลอดเวลา "คนที่มี ความชอบ เป็นพื้นฐาน อยู่แล้ว จะไม่รู้สึก เบื่อหน่าย ที่จะต้อง เรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆ และหากเป็น คนที่ มีความ ตั้งใจจริง ก็จะสามารถ ก้าวไปสู่ ความสำเร็จ ได้ง่าย "
"ปรเมศวร์" เว็บมาสเตอร์ ดั้งเดิมของ sanook.com บอกว่า คนที่มี "พรสวรรค์" อาจได้เปรียบ แต่ "พรแสวง" ก็สำคัญ ไม่ยิ่งหย่อน ไปกว่ากัน เพราะเป็นสิ่ง ที่แต่ละคน จะได้รับ แตกต่างกัน ใครหา ได้มากกว่า ก็มีโอกาส "เป็นต่อ" ได้
"สิ่งที่สอนกันในมหาวิทยาลัย อาจไม่เพียงพอ ดังนั้น สิ่งที่เราแสวงหาด้วยตัวเองจากข้างนอกจึงเป็นประสบการณ์ที่ช่วยเติมเต็มสิ่ง ที่หาไม่ได้ ในรั้ว มหาวิทยาลัย "
ปรเม ศวร์ บอกว่า แนวโน้ม งานด้านไอที ในประเทศไทย มีการขยายตัว อยู่ตลอด ผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้ จึงต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทันต่อเทคโนโลยี ที่มีการพัฒนา และเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา
weblink : kapook.com, bunditcenter.com, Wikipedia , twitter
The Inside Kapook by incquity.com
ปรเมศวร์ มินศิริ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ชื่อดังของไทยอย่าง kapook.com มาเล่าให้ฟังถึงความสำเร็จ และประสบการณ์บนเส้นทางการทำเว็บยุคแรกๆ ของประเทศไทย
ปรเมศวร์ มินศิริ กับ 10 คำถาม IT
ปรเมศวร์ มินศิริ @iwhale ผู้ก่อตั้งเว็บกระปุกดอทคอม และหัวเรี่ยวหัวแรงระดมชาวทวิตเตอร์ช่วยผู้ประสบภัยThai Flood
ที่มา bangkokbiznews.com
ปรเมศวร์ มินศิริ
กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด และผู้บริหารเว็บไซต์ www.kapook.com
วันนี้กระปุกดอทคอมภายใต้การบริหารของ “คุณปรเมศวร์ มินศิริ” กลายเป็นเว็บไซต์วาไรตี้อันดับต้นๆ ของประเทศ ความสำเร็จที่ได้มาไม่ใช่เพียงข้ามคืน แต่มาจากความอดทนและแน่วแน่ในสิ่งที่เชื่อ
และหนึ่งใน “งานอาสา” ของเขาก็คือ การอาสาเขียนซอร์ฟแวร์ให้กับคอมพิวเตอร์ในโรงแรม แม้จะพบว่ายากแต่เขาก็สามารถทำได้สำเร็จ
“มีคนในออฟฟิศบอกว่าผมโง่ ไอ้โปรแกรมนี้มันแพงกว่าเงินเดือนเราตั้งเยอะ แล้วเขาก็เอาไปใช้ตั้งหลายที่ ผมคิดว่าผมไม่โง่นะ การที่ผมบอกว่าจะขอเขียน แล้วถ้าเขาบอกว่าอย่าเลยทำไม่ได้หรอก ผมก็คงติดใจว่าผมคงทำไม่ได้ และคงไม่ได้ทำ ตรงกันข้ามผมคิดว่าผมเป็นหนี้บุญคุณโอกาสเขา ถ้าผมทำไม่ได้ก็ถือว่าเขาเสียเวลา จ่ายเงินเดือนผมฟรีไปหนึ่งเดือน แต่เขาให้โอกาสผมและผมทำได้ เขาก็ได้ซอร์ฟแวร์ที่ดีไป ผมก็ได้ความมั่นใจกลับมา”
ซึ่งความมั่นใจที่ได้จากความสามารถในการทำงานที่ว่ากันว่ายากแสนยากนี้เอง ที่แปรเปลี่ยนเป็น
ผลักดันสำคัญที่ทำให้ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งต่อๆ ไป
“อย่างตอนที่ผมไปทำงานที่โรงแรม ผมจะชอบทำงานให้กับโรงแรมในช่วงที่โรงแรมเปิดใหม่ๆ เพราะเป็นช่วงที่เราจะได้เห็นปัญหาของที่นั่น เพราะในการเริ่มเปิดกิจการหรือเริ่มเซตอัพทุกอย่าง จะเป็นช่วงที่เราเห็นปัญหาหรือเห็นข้อบกพร่องขององค์กรนั้นๆ มากที่สุด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับเราต่อไปในอนาคต เพราะถ้าเราสามารถอุดช่องโหว่หรือแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เราก็สามารถรันธุรกิจของเราได้ดี”
คุณปรเมศวร์เล่าถึงสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาก้าวมาถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญ การเป็นมิตรกับปัญหา
ก็เป็นหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของเขา
“แต่ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ผมให้น้ำหนักเรื่องการสำนึกรู้คุณสูงมาก เพราะผมเชื่อว่าใครที่มีเรื่องนี้จะเจริญก้าวหน้า คนที่ไม่มีเรื่องนี้ผมเป็นห่วงมาก เนื่องจากจะทำให้สังคมเราขาดจริยธรรม ถ้าทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง โดยลืมที่จะคิดถึงบุญคุณของคนที่ให้โอกาส ให้ความรู้ หรือสั่งสอนเรามา เหมือนกับการเรียนหนังสือ ถ้าสำนึกรู้คุณครู เอาใจใส่ใฝ่รู้ผมคิดว่าเราก็จะได้ความรู้กลับมาเยอะมาก เช่นเดียวกับการทำงาน สมมติว่าผมเรียนจบและได้เข้าทำงานในบริษัทหนึ่ง ไปเจอช่างที่เขาทำงานที่นี่มา 30 ปี แต่ตำแหน่งอาจจะเล็กกว่า วุฒิต่ำกว่า ถ้าผมกร่างตั้งแต่วันแรกก็คงไม่ได้อะไร กลับกันถ้าผมเข้าไปแล้วผมขอให้เขาสอนในสิ่งที่ผมไม่รู้ ก็มีแต่ได้กับได้
“คำว่า Seniority ในความหมายของผมคือเรื่องนี้ครับ ยิ่งคุณเคารพผู้ใหญ่เขาก็ยิ่งจะช่วย เราก็จะได้เรียนรู้จากเขาเยอะ ส่วนเรื่องการเรียนรู้ผมกลับให้น้ำหนักรองลงมา คุณอาจมีความรู้มีประสบการณ์มากก็จริง แต่ถ้าไม่มีความเคารพ ไม่มีเรื่องการสำนึกรู้คุณก็จบ เปรียบเทียบกับคนที่ตรงกันข้ามกัน ความรู้
ประสบการณ์น้อย แต่เคารพและสำนึกรู้คุณ เวลาผ่านไป ระหว่างคนสองคนนี้จะเห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจน”
ด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่เกี่ยงงานหนัก และด้วยสำนึกรู้คุณคนจึงทำให้เขาก้าวผ่านมรสุมพิษเศรษฐกิจ
ปี 2540 สู่ธุรกิจเว็บไซต์ที่ปลุกปั้นมาด้วยตนเองอย่าง “สนุกดอทคอม” ต่อเนื่องมาจนถึง “กระปุกดอทคอม” ที่ปัจจุบันนี้เข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว หากให้ย้อนกลับไปมองถึงเคล็ดลับความสำเร็จของเว็บไซต์นี้ คุณปรเมศวร์ให้ความเห็นว่า มาจากการรดน้ำพรวนดินและเอาใจใส่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญคือต้องจับความต้องการของ
ผู้อ่านให้ได้
“ผมทำให้เป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ ไม่ได้ฟังชื่อกระปุกแล้วไปคิดถึงอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าเป็นเว็บข่าว หรือฟังเพลง หรือเกม มันมาจากการรีเสิร์ชว่าคนต้องการอะไร ผมถึงได้รู้สึกว่าดีใจที่แบรนด์เราไม่ได้เป็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แค่คนเข้ามาดูหน่อย ในร้อยเรื่อง เขาสนใจสักเรื่องผมก็ดีใจแล้ว ผมเปรียบธุรกิจนี้เหมือนวิ่งมาราธอน มันไม่ได้วิ่งร้อยเมตรแล้วรู้ผลเลย วันนี้คุณอาจจะแซงเขาได้ แต่มันยังอีกไกลกว่าจะถึง
เส้นชัย ธุรกิจนี้คืองานเซอร์วิส หยุดนิ่งไม่ได้ ต้องพัฒนาให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ”
และแน่ละว่า บนเส้นทางแห่งความสำเร็จนี้จะละเลยหรือมองข้าม “การศึกษา” ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐาน
ที่สำคัญไปเสียไม่ได้ เพราะรากฐานยิ่งดีเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลให้เราต่อยอดได้ยาวไกล และมั่นคงขึ้นเท่านั้น
“ผมมองว่าการจบปริญญาตรีหรือจบอะไรมาก็แล้วแต่ แปลว่าคุณพิสูจน์ว่าคุณทำอะไรสำเร็จไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องจบไปทำงานอย่างนั้น มันเป็นเพียงต้นทุน ถ้าไปทำงานสายอื่น คุณก็จะมีต้นทุนอีกแบบที่อาจจะต้องไปเก็บเกี่ยวเพิ่มเติม ความรู้ในห้องเรียนก็อย่างหนึ่ง นอกห้องเรียนก็อีกเรื่องหนึ่ง คือถ้าหยุดเรียนรู้เมื่อไหร่ก็จบ “
“และสิ่งที่อยากฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ก็คือถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ต้องยอมทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบ คุณบอกว่าตรงไหนไม่ชอบคุณก็ไม่เอา เพราะการได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่ปลายทางแล้วไม่สำเร็จก็มี แต่จะดีกว่ามั๊ยถ้ายอมทำสิ่งที่ชอบและไม่ชอบด้วย แล้วปลายทางมันสำเร็จ เริ่มน่าคิดนะ เช่น ผมบอกว่าผมเกลียดวิชากฎหมายมากเลย ผมไม่เอาหรอก หมายถึงผมก็ไม่ต้องไปเก่งกฎหมาย ผมก็มีนักกฎหมายเก่งๆ อยู่ แต่ถ้าผมไม่รู้เรื่องผมก็คุยกับเขาไม่ได้ สุดท้ายผมทำธุรกิจดีมากแต่ไปพลาดทำผิดกฎหมายหนึ่งชิ้น ผมถูกฟ้อง ที่ทำมาก็พังหมด เพราะผมเลี่ยงในสิ่งที่ผมไม่ชอบ คือไม่ยอมกินยาขม ทั้งๆ ที่รู้ว่ากินแล้วดีแต่ไม่กิน เหมือนผมสมัยโน้นที่พอมารู้ว่าอะไรสำคัญ ผมก็ต้องกลับมายอมกินซะหน่อย มันก็ขมนะแต่ก็กิน เพราะมันทำให้ชีวิตเราไปต่อได้และไปได้ไกลกว่าครับ”
ดูเหมือนยาขมเม็ดนี้จะได้ผลดีทีเดียว
ที่มา http://www.kbeautifullife.com
|