Web Design by Softbiz+
|
เว็บนี้ สร้างด้วย Joomla! 1.5 โดย ทีมงานซอฟท์บิส+ update11.11.2014 |
หมู่บ้านจัดสรร วิกฤติน้ำท่วมกับปัญหาภารกิจหลังน้ำลด : “นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร” กับ ผู้ประกอบการโครงการ |
วันที่ 28 ตุลาคม 2554 : อสังหาริมทรัพย์ นิติบุคคลบ้านจัดสรร กับภารกิจ..หลังน้ำลด
โดย พิสิฐ ชูประสิทธิ์ ผมเชื่อว่าท่านซึ่งเคยประสบอุทกภัยเมื่อปี พ.ศ. 2526 และ พ.ศ. 2538 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครในอดีตอาจบอกกับตนเองว่าอุทกภัยในปี พ.ศ. 2554 ครั้งนี้ หนักหนาสาหัสกว่าในอดีต และส่งผลกระทบค่อนข้างหนัก ต่อทั้งบริษัทผู้ประกอบการพัฒนาโครงการจัดสรรที่ดิน และผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ตลอดจนผู้ที่กำลังจะตัดสินใจซื้อที่ดินหรือบ้านจัดสรร ภายหลังน้ำลดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเหตุการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ บรรดาสมาคมผู้ประกอบการต่างๆ ต้องเตรียมงัดแผนเสนอภาครัฐให้เข้าช่วยเหลือเยียวยา ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “ยกเครื่องขนานใหญ่” อุทกภัยใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล กระทบต่อผู้ประกอบการจัดสรรที่ดินใน 3 ส่วนดังต่อไปนี้ คือ
ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ซื้อที่ดินจัดสรรหรือบ้านจัดสรร กับผู้ประกอบการโครงการและได้จดทะเบียนหรือรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจัดสรรพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเพิ่งเข้าใช้ประโยชน์ในโครงการจัดสรรที่ดินเพียงระยะเวลาไม่นาน แต่ระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการ เช่น ถนน สวนหย่อม ไฟฟ้า ประปา ฯลฯ เป็นต้น ชำรุดเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยจนใช้งานไม่ได้ หรือใช้ได้เพียงบางส่วน ต้องถามต่อไปว่า ผู้ประกอบการโครงการหรือผู้จัดสรรที่ดิน จะมีส่วนช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคอย่างไร
และถ้าผู้บริโภคซึ่งจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจัดสรรพร้อมสิ่งปลูกสร้างมานับสิบปีแล้ว จะหาทางเจรจากับผู้ประกอบการโครงการ ให้เข้ามาช่วยเหลือจัดงบประมาณมาปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคซึ่งชำรุด เสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างไร ในขณะที่ผู้ซื้อที่ดินหรือบ้านจัดสรร ยังไม่สามารถจดทะเบียนจัดตั้ง “นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร” ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543
มาตรา 45 บัญญัติว่า เมื่อผู้ซื้อที่ดินจัดสรรมีความประสงค์ขอจดทะเบียนจัดตั้ง “นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร” ให้รวมตัวขอมติด้วยคะแนนเสียงจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนแปลงย่อยพร้อมมีมติรับข้อบังคับและแต่งตั้งตัวแทนยื่นคำขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ “กรมที่ดิน” ผมไม่ค่อยเป็นห่วงกับผู้ซื้อที่ดินหรือบ้านจัดสรรกับผู้ประกอบการโครงการซึ่งจดทะเบียนนิติบุคคลในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะบริษัทเหล่านี้ล้วนกังวลต่อ “ภาพลักษณ์” ชื่อเสียง องค์กร หากทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ผู้ประกอบการโครงการและตัวแทนผู้ซื้อที่ดินจัดสรรสามารถเจรจาด้วยกันได้โดยอาศัยทั้งหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์พร้อมกัน ผมพอจะยก “ตัวอย่าง” ให้ท่านผู้อ่านเห็นในกรณีดังต่อไปนี้ คือ
1. โครงการจัดสรรที่ดินซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้มากกว่ากึ่งหนึ่ง และครบกำหนดระยะเวลาการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคและผู้ประกอบการแจ้งให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจดทะเบียนจัดตั้ง 2. โครงการจัดสรรที่ดินซึ่งผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจัดสรรพร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับผู้จัดสรรที่ดินครบ 100% อาจอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้ง “นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร” หรือยังไม่เข้าข่ายองค์ประกอบการจัดตั้ง “นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร” หรือด้วยสาเหตุอื่นใดก็ตาม และผู้ซื้อที่ดินจัดสรรได้เข้าใช้ประโยชน์ในสาธารณูปโภคมาเป็นเวลานาน เสนอแนะให้ผู้จัดสรรที่ดินจัดสรร “งบประมาณ” ส่วนหนึ่งมอบให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรร นำเป็นทุนและค่าใช้จ่ายดำเนินการปรับปรุงสาธารณูปโภคที่ชำรุด เสียหาย ให้สามารถใช้งานได้ตามปกติตามสมควร
ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน หรือในภาวะที่เหตุการณ์อุทกภัยผ่านพ้นไป หากผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจะยึดถือหลักนิติศาสตร์เข้ามาใช้กับกระบวนการจดทะเบียนจัดตั้ง “นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร” กับผู้จัดสรรที่ดิน ผมมองว่าคงไม่เกิดประโยชน์ต่อทั้งผู้จัดสรรที่ดินและผู้ซื้อที่ดินจัดสรร แต่หากทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาเจรจาต่อรอง เพื่อให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย น่าจะเป็นแนวทางที่ดีกว่า |