Home » วิทยาการ ไอที โลกาภิวัฒน์ » สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะ IT ผู้ก่อตั้ง Apple เสียชีวิตอย่างสงบแล้วด้วยวัย 56 ปี วันที่ 5 ตุลาคม 2554

การบริหาร/ความรู้ทั่วไป

Web Design by Softbiz+


ว็บนี้ สร้างด้วย Joomla! 1.5 โดย ทีมงานซอฟท์บิส+ update11.11.2014

 
สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะ IT ผู้ก่อตั้ง Apple เสียชีวิตอย่างสงบแล้วด้วยวัย 56 ปี วันที่ 5 ตุลาคม 2554

คีย์แมนคนสำคัญแห่งวงการคอมพิวเตอร์และอุตสาหกรรมไอทีชาวอเมริกัน อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และผู้บริหารสูงสุดของบริษัทแอปเปิล อิงค์ รวมถึง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนวัตกรรมสุดล้ำอย่างคอมพิวเตอร์แม็คอินทอช ไอพอด ไอแพด และไอโฟน ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐฯ ในวัย 56 ปี จากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ตับอ่อน...

       ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของบริษัท Apple หรือจะของทั้งวงการ IT และเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้สำหรับข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CEO ของบริษัท Apple เจ้าของนวัตกรรมพลิกโลกมากมายไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในตระกูล Mac, iPod, iPad รวมไปจนถึง iPhone ที่เพิ่งจะมี iPhone 4S เปิดตัวไปเป็นอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ Steve Jobs ได้มีส่วนร่วมในการสรรสร้างให้กับทาง Apple ด้วย

       โดยทางด้านของสำนักข่าว AFP รายงานว่า Steve Jobs ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัย 56 ปีเมื่อช่วงวันที่ 5 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมาจากโรคมะเร็งตับอ่อน ซึ่งทางฝั่งครอบครัวของ Steve Jobs เองได้กล่าวขอบคุณผู้ที่ให้กำลังใจ Steve Jobs ในการต่อสู้กับโรคร้ายลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ด้วย

         ขณะเดียวกันทางฟากฝั่ง Apple เองก็ได้ขึ้นหน้าเว็บไซต์พิเศษเพื่อแถลงการณ์เกี่ยวกับการจากไปของ Steve Jobs ว่าพวกเขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ Apple ได้สูญเสียอัจฉริยะที่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในขณะที่โลกเองก็ได้สูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพอีกหนึ่งคนด้วย ขณะเดียวกันทุกคนที่เคยร่วมงานกับ Steve Jobs ต่างก็ต้องสูญเสียเพื่อนรักและอาจารย์ผู้สร้างแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดคนหนึ่งไป ทั้งนี้ Steve Jobs ได้ทิ้งไว้เพียงบริษัท Apple ที่มีแต่เพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะสร้างขึ้นมาได้ ทว่าวิญญาณของ Steve Jobs จะเป็นนิรันดรตลอดกาลอยู่ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ตลอดไป

         ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ต้องการร่วมไว้อาลัย Steve Jobs สามารถส่งข้อความไปยังอีเมล์ อีเมลนี้จะถูกป้องกันจากสแปมบอท แต่คุณต้องเปิดการใช้งานจาวาสคริปก่อน  ได้ครับ 

ประวัติ Steve Jobs จากเว็บไซต์ Wikipedia

สตีเฟน พอล "สตีฟ" จ๊อบส์ (อังกฤษ: Steve Jobs, 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 - 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011) เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานกรรมการบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ และยังเคยเป็นประธานกรรมการบริหารพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ และเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ใน ค.ศ. 2006 หลังดิสนีย์ซื้อกิจการพิกซาร์

สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs)ร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์กับสตีฟ วอซเนียก ใน ค.ศ. 1976 เป็นผู้มีส่วนช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา ด้วยเครื่อง Apple II ต่อมา สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) เป็นผู้แรกที่มองเห็นศักยภาพทางการค้าของส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์และเม้าส์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นในศูนย์วิจัยซีร็อกซ์พาร์ค ของบริษัทซีร็อกซ์ และได้มีการผนวกเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอช หลังพ่ายแพ้ในการแย่งชิงอำนาจกับคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1984 สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) ลาออกจากแอปเปิลและก่อตั้งเน็กซ์ บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและตลาดธุรกิจ การซื้อกิจการเน็กซ์ของแอปเปิลใน ค.ศ. 1996 ทำให้สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) กลับเข้าทำงานในบริษัทแอปเปิลที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นนั้น และสตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) รับหน้าที่ CEO ตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ถึง 2011 สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) ยังเป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของพิกซาร์แอนิเมชันสตูดิโอส์ ผู้นำด้านการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ 50.1% กระทั่งบริษัทวอลต์ดิสนีย์ซื้อกิจการไปใน ค.ศ. 2006 จ๊อบส์เป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุดของดิสนีย์ที่ 7% และเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของดิสนีย์ 

หลังจากที่ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนเป็นเวลาหลายปี สตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทความโดย: ekk TechXcite

http://www.techxcite.com/topic/7227

ที่มา: afp

  

   

อาลัย สตีฟ จ็อบส์

         พนักงานของแอปเปิล ปิดไฟที่โลโก้รูปแอปเปิลที่ติดอยู่ด้านหน้าเพื่อไว้อาลัยให้แก่ สตีฟ จ็อบส์อดีตซีอีโอของพวกเขา
 
         ทั่วโลกยังคงไว้อาลัยต่อการจากไปของสตีฟ จ็อบส์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอของบริษัทแอปเปิล โดยที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ชาวจีนจำนวนมากได้นำดอกไม้มาวางไว้ด้านหน้าแอปเปิลสตอร์ นอกจากนี้ พนักงานของแอปเปิล ยังได้ปิดไฟที่โลโก้รูปแอปเปิล ที่ติดอยู่ด้านหน้า ตั้งแต่เวลา12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นเป็นต้นไป เพื่อไว้อาลัยให้แก่อดีตซีอีโอของพวกเขา
 
         ขณะที่ พนักงานแอปเปิลในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ต่างก็ร่วมใจกันใส่ปลอกแขนสีดำ เพื่อเป็นการร่วมไว้อาลัย อีกทั้ง เสียงเพลงดังสนั่นที่เคยเปิดอยู่ในแอปเปิลสตอร์ วันนี้ก็ถูกปิดลง พร้อมกันกับที่หน้าจอของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในร้าน ก็ถูกเปลี่ยนเป็นรูปของสตีฟ จ็อบส์ เช่นเดียวกับหน้าโฮมเพจของเว็บไซต์แอปเปิล
 
         ส่วนที่ประเทศฝรั่งเศส ด้านหน้าของแอปเปิลสตอร์ในกรุงปารีส เจ้าหน้าที่ได้นำธงโลโก้แอปเปิลสีดำมาแขวนไว้  เพื่อเป็นการไว้อาลัย ขณะเดียวกัน ชาวฝรั่งเศสจำนวนมาก ก็ได้นำดอกไม้และร่วมกันจุดเทียน โดยพวกเขาต่างก็หวังว่า แอปเปิลจะยังสามารถดำเนินงานต่อไปได้ แม้จะไม่มีสตีฟ จ็อบส์อีกต่อไป
 
         ขณะที่ด้านหน้าบ้านพักของสตีฟ จ็อบส์ ในเมืองพาโล อัลโต้ มลรัฐแคร์ลิฟอร์เนีย ประชาชนจำนวนมากก็ยังเดินทางมาไว้อาลัย โดยพวกเขาได้นำลูกแอปเปิล  ดอกไม้ และเทียน มาวางไว้ พร้อมกับข้อความส่วนตัวที่พวกเขาตั้งใจเขียน เพื่อสื่อสารกับจ็อบส์เป็นครั้งสุดท้าย

Produced by Voice TV  6 ตุลาคม 2554

  

ประโยคทองที่ สตีฟ จ๊อบส์  กล่าวไว้

  1. อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความซื่อ

  2. ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยู่นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

  3. อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์-นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจเราเอง

  4. เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับงานที่ทำก็คือ เมื่อเราทำงานที่ยอดเยี่ยม  และวิธีเดียวที่จะทำให้ได้งานออกมายอดเยี่ยม คือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ

  5. ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่

  6. คิดอย่างแตกต่าง

  7. "คิดต่าง" อย่า "มัวแต่ยืนอยู่ในแถวเหมือนพวกแกะ"

  8. คุณอยากใช้ชีวิตที่เหลือขายน้ำหวาน หรืออยากมีโอกาศเปลี่ยนแปลงโลก?

  9. คุณ ไม่สามารถเพียงถามลูกค้าว่าพวกเขาต้องการอะไร แล้วพยายามมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการให้พวกเขา เพราะกว่าคุณจะผลิตของสิ่งนั้นสำเร็จ พวกเขาก็อยากได้ของใหม่แล้ว

  10. ผมเชื่อว่าครึ่งหนึ่งของสิ่งที่แยกระหว่างเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จคือ ความไม่ยอมแพ้ล้วนๆ

 

'มะเร็งตับอ่อน' โรคที่เอาชนะ 'บุรุษหมายเลข 1' ของโลก 'สตีฟ จ็อบส์'!!

ไทยรัฐออนไลน์ 6 ตุลาคม 2554

         นอกจากอาการช็อกเมื่อข่าวการจากไปของ "สตีฟ จ็อบส์" บุรุษหมายเลข 1 ของโลกไอทีถูกเปิดเผยขึ้นมาแล้ว สาเหตุการตายถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจและต้องจดจำเอาว่ามันพรากชีวิตคนสำคัญของ "โลก" ไปอีกหนึ่งคนก็คือ "โรค" มะเร็งตับอ่อน..!

         น.พ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ถึงโรคมะเร็งตับอ่อนที่พรากชีวิตสตีฟ จ็อบส์ว่า จากสถิติ โรคนี้ในคนไทยจะพบน้อยมากไม่ถึง 1% ในบรรดาโรคมะเร็งที่คนไทยเผชิญทั้งหมด ส่วนมากมะเร็งชนิดนี้จะพบมากในคนต่างชาติที่ติดอันดับ 1 ใน 5 โรคที่คร่าชีวิตคน โดยมะเร็งตับอ่อนนั้นมาจาก 2 สาเหตุหลักๆ 1.ไขมันความอ้วนมันไปเกี่ยวพันกับเรื่องอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งเมื่อตับอ่อนทำงานหนักก็จะเกิดการหลั่งน้ำย่อยและฮอร์โมนออกมา ซึ่งโอกาสเกิดมะเร็งในตับอ่อนได้มากขึ้น เนื่องจากการไหลออกมามากของน้ำย่อยจนทำให้เกิดมะเร็งขึ้นที่บริเวณ Pancreatic Duct อาการปวดท้องหรือแน่นท้อง หรืออาการปวดหลังนั้นเป็นเพราะเนื้อมะเร็งเริ่มเจริญเติบโตขึ้น ทำให้น้ำย่อยอุดตัน สะสมอยู่ในตับอ่อนเป็นผลทำให้ตับอ่อนบวมขึ้น 2.มาจากบุหรี่ ซึ่งเคสของสตีฟ จ็อบส์ ตนมองว่ามาจาก 2 สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น

        “โรคมะเร็งเป็นปัญหาการแพทย์และสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดไหนก็ตาม เพราะว่ามันเป็นสาเหตุการตายลำดับต้นๆของพลเมืองโลกไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ส่วนจะเป็นมะเร็งชนิดไหนก็แล้วแต่ปัจจัยเสี่ยงของอาหารการกินชาติไหนๆ”

         ทั้งนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าตับอ่อน (pancreas) มันเป็นอย่างไร แล้วอยู่ตรงไหน มันเป็นอวัยวะที่ยาวประมาณ 6 นิ้ว วางทอดขวางหน้ากระดูกสันหลังและอยู่หลังกระเพาะอาหาร รูปร่างของมันคล้ายปลาดุก ส่วนหัวอยู่ทางด้านขวาของเจ้าของ ทอดอยู่ในอ้อมกอดของลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกว่า ดูโอดีนัม (duodenum) ส่วนหางอยู่ทางซ้ายจ่อติดกับม้าม (spleen) ตรงกลางมีหลอดเลือดใหญ่ทอดผ่านหลายหลอด (ทำให้การผ่าตัดยาก) ตับอ่อนทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยอาหาร และสร้างฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอน ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถใช้น้ำตาลในร่างกายได้เป็นปกติ มะเร็งตับอ่อนส่วนมาก (90%) เกิดจากเซลล์ที่หลั่งน้ำย่อย

          เนื่องจากตับอ่อนถูกห้อมล้อมไปด้วยอวัยวะอื่นๆ เช่น กระเพาะอาหาร เป็นต้น แพทย์ตรวจร่างกายทั่วไปก็สามารถเห็นถึงความผิดปกตินี้ได้ยาก และอาการสุดท้าย การปัสสาวะที่มีสีเข้มเหมือนสีช็อกโกแลต และใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สาเหตุเป็นเพราะเนื้อมะเร็งได้เจริญเติบโตขึ้นจนไปปิดกั้นทางเดินน้ำดีที่ไหลผ่านตับอ่อน ทำให้น้ำดีไหลย้อนกลับไปนอกท่อ แล้วหลั่งไปทั่วร่างกาย โรคมะเร็งตับอ่อนนี้เป็นโรคที่พัฒนาไปอย่างช้าๆ ดังนั้นกว่าจะพบว่าเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ก็สายไปเสียแล้ว ถ้าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งตับอ่อนหรือไม่ แพทย์มีวิธีการตรวจหาหรือยืนยันได้หลายวิธี รวมทั้งวิธีต่างๆ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องทำหมดทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์

       1.การซักประวัติตรวจร่างกาย เป็นสิ่งชี้นำในการตรวจขั้นตอนต่อไป ถ้าเป็นมะเร็งในระยะเริ่มแรกมักจะตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือคลำได้ก้อน

       2.ฉายภาพรังสีปอด เพื่อดูว่ามีมะเร็งแพร่กระจายมายังปอดแล้วหรือยัง ถ้าแพร่มาแล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี

      3.ซีทีสแกน (CT scan) เป็นเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ถ่ายกวาดให้เห็นภาพตัดตามขวางของส่วนต่างๆ ในร่างกาย ถ้ามีมะเร็งตับอ่อนส่วนมากจะเห็นได้จากซีทีสแกนนี้

      4.เอ็มอาร์ไอ (MRI) เป็นการถ่ายภาพคอมพิวเตอร์อีกชนิดหนึ่งที่ไม่อาศัยรังสีเอกซ์ แต่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เห็นภาพถ่ายกวาดของอวัยวะภายใน สามารถตรวจพบมะเร็งตับอ่อนได้ ในบางกรณีจะช่วยเสริมข้อมูลบางอย่างที่ซีทีมองไม่เห็น

      5.เพ็ตสแกน (PET scan) (positron emission tomography scan) เป็นเครื่องที่ใช้ตรวจหาเซลล์มะเร็ง โดยอาศัยหลักการที่มะเร็งจับเอาสารกลูโคสที่ติดฉลากด้วยกัมมันตภาพรังสี ทำให้เครื่องตรวจกวาดเห็นได้ ในบางกรณีต้องใช้เครื่องนี้ช่วย โดยเฉพาะในรายที่ต้องการรู้ว่ามะเร็งแพร่กระจายไปแล้วหรือยัง

      6.การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน แล้วตรวจด้วยอัลตราซาวด์บริเวณตับอ่อน (endoscopic ultrasound = EUS) ทำให้สามารถเห็นภาพมะเร็งตับอ่อนและต่อมน้ำเหลืองรอบตับอ่อนว่ามีมะเร็งแพร่กระจายไปถึงหรือยัง

      7.การส่องกล้องตรวจภายในช่องท้อง (laparoscopy) เป็นการตรวจหามะเร็งและตัดชิ้นเนื้อตรวจ และเพื่อดูว่ามะเร็งที่ตรวจพบโดยวิธีอื่นแล้วนั้นมันแพร่กระจายไปในช่องท้องแล้วหรือไม่ ถ้าแพร่กระจายแล้วแสดงว่าการผ่าตัด ซึ่งเป็นวิธีรักษาให้หายขาดใช้ไม่ได้แล้ว ขืนทำไปคนไข้จะได้รับความเสี่ยงโดยได้ประโยชน์ไม่คุ้มเสีย

       8.การส่องกล้องตรวจและฉีดสีเอกซเรย์ท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography หรือย่อว่า ERCP) วิธีนี้ทำให้สามารถบอกได้ว่ามีมะเร็งที่หัวตับอ่อนหรือตัวตับอ่อนหรือไม่ สามารถตัดชิ้นเนื้อเอาไปตรวจยืนยันมะเร็งทางพยาธิสภาพ และถ้ามีการอุดตันของท่อน้ำดีจากมะเร็ง คนส่องกล้องก็สามารถสอดใส่หลอดตะแกรงโลหะ (stent) เพื่อค้ำจุนเปิดท่อไม่ให้ตีบตัน เป็นการรักษาแบบทุเลาอาการดีซ่านในกรณีคนที่ไม่สามารถผ่าตัดรักษาให้หายขาดได้แล้ว

       9.การตรวจโดยการแทงเข็มผ่านผิวหนังเข้าตับเพื่อฉีดสารทึบรังสี แล้วเอกซเรย์ดูภาพท่อน้ำดี (percutaneous transhepatic cholangiography หรือย่อว่า PTC) ถ้าตรวจพบว่ามีการอุดตันของท่อน้ำดีก็จะช่วยการวินิจฉัยและสามารถใส่ stent บรรเทาการอุดตัน ซึ่งทำให้เกิดอาการดีซ่านด้วย ในบางกรณีถ้าใส่ stent ไม่ได้ เขาก็ใส่ท่อระบายน้ำดีออกสู่ภายนอก การตรวจอย่างนี้จะทำก็ต่อเมื่อการทำ ERCP ทำไม่ได้แล้ว

     10.การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิสภาพ เป็นสิ่งจำเป็นในการวินิจฉัยโรคที่แน่นอนว่าก้อนเนื้องอกในตับอ่อนเป็นมะเร็ง(เนื้อร้าย) หรือเนื้องอกชนิดไม่ร้าย การตัดชิ้นเนื้ออาจจะทำได้หลายวิธี เช่น การแทงเข็มเล็กๆ ผ่านช่องท้องภายใต้การนำวิถีโดยอัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์ การตัดชิ้นเนื้อโดยการส่องกล้องในทางเดินอาหารส่วนต้นร่วมกับการทำอัลตราซาวด์ หรือโดยการส่องภายในช่องท้องแล้วตัดชิ้นเนื้อ

         สุดท้ายผู้เชี่ยวชาญบอกการป้องกันโรคมะเร็งร้ายนี้ว่า หัวใจหลักมะเร็งก็คือการป้องกันไม่ให้มันเกิด แล้วคิดว่าอะไรคือสาเหตุก็ป้องกัน อาหารที่มีไขมันมากหรือบุหรี่ เป็นหนึ่งในปัจจัยก็หลีกเลี่ยงก็ลดละเลิก วิธีรองลงมาก็คือการตรวจและเมื่อพบแล้วก็รักษาอย่างถูกต้อง

 

http://hitech.sanook.com/942457/ถ้าหากคุณใช้ชีวิตแต่ละวัน-ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต/

ถ้าหากคุณใช้ชีวิตแต่ละวัน ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

          ต่อไปนี้คือคำกล่าวส่วนหนึ่งของผู้ชายที่ทั่วโลก กำลังกล่าวถึงเค้าในเช้าวันนี้ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ชายหนุ่ม ผู้ก่อตั้งบริษัท และอดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เสียชีวิตแล้ว ในวัย 56 ปี หลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งมาหลายปี และเป็นการเสียชีวิตหลังจากที่แอ๊ปเปิ้ล พึ่งเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงวันเดียว

สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs)

        หรือที่จริง อาการของเค้าอาจจะหนักมากแล้ว แต่มันเป็นช่วงของการเปิดตัว iPhone 4s ทำให้ทาง  แอ๊ปเปิ้ล ต้องปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน และหลังจากงานเปิดตัว ทาง แอ๊ปเปิ้ล  จึงออกมาแถลงข่าวการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ

ประโยคดี ๆ ที่ สตีฟ จ็อบส์  ฝากไว้ก่อนเสียชีวิต

        เมื่อผมอายุได้ 17 ปี ผมได้อ่านประโยคที่กล่าวไว้ว่า " ถ้าหากคุณใช้ชีวิตแต่ละวัน ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิตแล้วละก็ มั่นใจได้เลยว่าวันหนึ่งมันจะเป็นจริงอย่างที่คุณคิด " มันประทับใจผมอย่างมาก และตั้งแต่นั่นมา เป็นเวลา 33 ปี ทุกเช้าผมต้องมองที่กระจกและถามตัวเองว่า “ ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของผม ผมจะยังคงต้องการที่จะทำสิ่งที่ผมจะทำในวันนี้หรือเปล่า “ และถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบคือ “ ไม่ “ หลายวันถัดมา ผมก็รู้ว่าผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว

         จำไว้ว่า ประโยคที่ว่า “
ผมจะต้องตายในไม่ช้า “ นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่พบเคยพบมา ที่จะช่วยผมสร้างทางเลือกที่สำคัญยิ่งในชีวิต เพราะว่าเกือบทุกสิ่งตั้งแต่ ทุกความคาดหวังภายนอก ทุกความภาคภูมิใจ ทุกความกลัวต่ออุปสรรคหรือความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะมลายหายไปเมื่อคุณต้องเผชิญกับความตาย การจากไปเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สำคัญอย่างแท้จริง การจำไว้ว่าคุณต้องตายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้จัก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการติดในกับดักของความคิดที่ว่าคุณอาจต้องสูญเสียบาง สิ่งไป คุณนั้นเกิดมาตัวเปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ทำตามหัวใจของตัวเอง

        
เมื่อประมาณหนึ่ง ปีมาแล้ว ผมถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ผมต้องถูกสแกนตั้งแต่เช้าตอนเจ็ดโมงครึ่ง และผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้องอกในตับอ่อน ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกผมว่าค่อนข้างจะแน่ใจว่าผมเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้ และคาดว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่เกิน 3-6 เดือน หมอประจำตัวผมแนะนำให้ผมกลับไปบ้านและทำสิ่งที่อยากทำ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณจากหมอว่าให้เตรียมตัวที่จะตายได้ มันหมายถึงให้คุณเอาสิ่งที่คุณคิดว่าจะบอกลูกคุณในสิบปีข้างหน้า มาบอกพวกเขาภายในเวลา 2 - 3 เดือน มันหมายถึงการที่จะแน่ใจได้ว่าทุกสิ่งได้ถูกจัดการให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้ให้ครอบครัวทำใจได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันหมายถึงว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องบอกลา

        
ผมต้องอยู่กับเจ้าโรคนั้นตลอดทั้งวัน เวลาผ่านไปจนถึงเย็นวันหนึ่งที่ผมต้องเข้ารับการตรวจ ซึ่งพวกเขาต้องสอดกล้องเอนโดสโคปลงไปในคอของผม ผ่านกระเพาะอาหารและลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ แล้วเอาเข็มทิ่มเข้าไปที่ตับอ่อน และตัดเอาเซลล์เล็กน้อยออกมาจากเนื้องอกก้อนนั้น ผมถูกปลอบให้ทำใจดีๆ แต่ภรรยาของผมซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย บอกว่าเมื่อพวกเขาเอาเซลล์ไปส่องด้วยกล้องไมโครสโคป แล้วอยู่ๆหมอก็เริ่มร้องไห้ เพราะว่าผลออกมากลายเป็น นี่เป็นโรคมะเร็งตับชนิดที่หายากมากๆ และสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด ผมต้องเข้ารับการผ่าตัด และตอนนี้ผมหายดีแล้ว

        
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ชิดที่สุดที่ผมต้อง เผชิญหน้ากับความตาย และผมหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นไปอีก 20-30ปี ด้วยการผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ ตอนนี้ผมจึงสามารถพูดกับคุณได้อย่างมั่นใจว่าความตายนั้นมีคุณค่า มากกว่าเมื่อตอนที่มันยังเป็นแค่ความคิด

       
ไม่มีใครที่ต้องการตาย แม้กระทั่งคนที่ต้องการไปสวรรค์ ก็ยังไม่ต้องการตายเพื่อไปที่นั่น และความตายคือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต้องแบ่งปัน ไม่มีใครหนีรอดไปได้ และมันยังคงเป็นอย่างที่ควร เพราะว่าความตายค่อนนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีทีสุดของชีวิต มันคือตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต มันกวาดล้างสิ่งเก่าๆออกไป เพื่อสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาแทน ตอนนี้สิ่งใหม่นั้นก็คือคุณ แต่วันหนึ่ง ไม่นานนักจากวันนี้ คุณจะค่อยๆกลายเป็นคนแก่และถูกกวาดไปเช่นกัน ต้องขอโทษที่เล่าเหมือนเป็นละคร แต่นี่คือความจริง

        
เวลาของคุณมี จำกัด ฉะนั้น อย่าเสียเวลาเพื่อเติมเต็มชีวิตผู้อื่น อย่าติดกับดักของกฎเกณฑ์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับผลของความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของความคิดเห็นของคนอื่นมากลบเสียงภายในของคุณเอง และสำคัญที่สุด จงกล้าที่จะทำตามหัวใจและสัญชาติญาณของคุณ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันรู้ถึงสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นอย่างแท้จริง สิ่งที่เหลืออื่นจึงสำคัญรองลงมา

         เมื่อผมยังเป็นเด็ก มีสิ่งตีพิมพ์ที่น่ามหัศจรรย์อันหนึ่งชื่อว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งเป็นคัมภีร์ของคนรุ่นผม มันถูกสร้างสรรค์โดยคนกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แถวๆ Menlo Park และมันนำมาซี่งความมีชีวิตชีวา ด้วยสัมผัสแห่งบทกวี นี่คือในช่วงยุค 1960 ก่อนที่คอมพิวเตอร์ PC และ เครื่อง desktop จะมีออกจำหน่าย ดังนั้นมันจึงถูกเขียนขึ้นด้วยมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันเหมือนกับ Google ในรูปแบบกระดาษ 35 ปีก่อนที่ Google จะกำเนิดขึ้น มันเป็นเหมือนสิ่งอุดมคติ ที่ท่วมท้นออกมาโดยอาศัยเครื่องมืออันประณีต และความคิดอันเยี่ยมยอด

         สจ๊วตและทีมของเขา ผลิตThe Whole Earth Catalog ออกมาหลายเล่ม และในขณะที่มันดำเนินไปตามเส้นทางที่วางไว้ พวกเขาก็เลิกทำ นั่นคือตอนกลางยุค 1970 และผมยังมีอายุพอๆกับพวกคุณ บนปกหลังของฉบับสุดท้าย เป็นภาพยามเช้าของถนนในถิ่นกันดาร แบบที่คุณสามารถพบตัวเองกำลังโบกรถอยู่ถ้าคุณเป็นคนประเภทชอบการผจญภัย ภายใต้ภาพนั้นมีคำพูดว่า “ จงเหมือนคนหิว(ความฝัน) จงเหมือนคนเขลา (เพ้อฝัน) “ มันคือข้อความอำลาจากพวกเขา จงเหมือนคนหิว จงเหมือนคนเขลา และผมมักภาวนาให้มันเกิดกับตัวเองเสมอ และวันนี้ เมื่อพวกคุณจบการศึกษาเพื่อที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมจะภาวนาสิ่งนี้ให้พวกคุณ

        
“ จงเหมือนคนหิว จงเหมือนคนเขลา “

        สำหรับทีมงาน ชอบประโยค  ด้านล่างมากที่สุด เพราะใครหลาย ๆ คนที่กำลังท้อแท้หมดหวังเมื่อได้อ่าน มันอาจจะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจเล็ก ๆ ที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของชีวิต

       " ไม่มีใครที่ต้องการตาย แม้กระทั่งคนที่ต้องการไปสวรรค์ ก็ยังไม่ต้องการตายเพื่อไปที่นั่น และความตายคือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต้องแบ่งปัน ไม่มีใครหนีรอดไปได้ และมันยังคงเป็นอย่างที่ควร เพราะว่าความตายค่อนนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีทีสุดของชีวิต มันคือตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต "

       สุดท้าย ขอไว้อาลัยแก่ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) หนึ่งในผู้ที่เข้ามาปฏิวัติวงการ IT โลกให้มีอะไรที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ คิดไม่ถึง ขอบคุณสำหรับชื่อ ของ Apple และอุปกร์ไอที ที่คุณสร้างสรรมันขึ้นมา

                                                                                                                
        ขอบคุณ คุณ academician, sell2hand.com
 


Hitech Gallery

 

ที่มา http://hitech.sanook.com/942457/ถ้าหากคุณใช้ชีวิตแต่ละวัน-ดุจดังว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต/