Home » เรารักในหลวง ทรงพระเจริญ » พระราชอารมณ์ขัน..ในหลวง

การบริหาร/ความรู้ทั่วไป

Web Design by Softbiz+


ว็บนี้ สร้างด้วย Joomla! 1.5 โดย ทีมงานซอฟท์บิส+ update11.11.2014

 
พระราชอารมณ์ขัน..ในหลวง

ผ่านซุ้มนี้ได้

ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้.. วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ.. ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า ”วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."
 

ปรับตำแหน่งให้เป็นช่าง

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง” ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"
 

เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
 

ชื่อเดียวกัน

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า ”ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ" เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..." ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
 

เชื้อโรคตายหมด

เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหดพร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ

เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า "ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?" ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงสูงมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า "เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก" **ขอพระองค์ทรงเกษมสำราญทุกเวลา***

 

พระหมดแล้ว

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว ราษฎรผู้หนึ่งจึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์" ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"

เรียกน้าซิ ถึงจะถูก

วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก"
 

ตกสะพาน

พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา " ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน" แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ " ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า " แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วยตกข้างเดียว" ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล
 

ดินเค็ม

พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ ทางภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรดมีความเค็ม พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้าน ที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า "ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม " ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนตอบกลับมาว่า " ไม่เคยชิมซักที " ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ตามเสด็จว่า "ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ " 

 

คุณหมอ

ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า- ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง" แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า - เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ- เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป

 

คนที่แบงค์ โทรมา

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอฐ(เขียนไม่ค่อยถูกนะ) ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย

 

รายชื่อบัณฑิต

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่าเมื่อกี้นี้ ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว
 

ถ่ายรูป

และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาทท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

 

เกาะนั้นชื่ออะไร

ครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถาม ข้ราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า "เกาะนั้นชื่ออะไร" ข้าราชการทูลตอบว่า "เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้าพะย่ะคะ" ตรัสว่า "ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ" (ถ้างงก็กลับไปอ่านอีกรอบ)
 

ไม่มีอะไรกิน

พระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นถือได้ว่าทรงใช้วิทยุ มากที่สุดพระองค์หนึ่ง และทรงมีรหัสส่วนพระองค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ใช้วิทยุจะทราบดี วันหนึ่งก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น ตำรวจนายหนึ่งโอดครวญมาตามเสียงวิทยุว่า เข้าเวรกลางคืนไม่มีอะไรกิน หิว ไม่ทราบว่าผู้อยู่ ปลายสายคือใคร หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากปลายสาย รู้ที่มาของต้นสายแล้ว จึงวิทยุไปยังหน่วยบัญชาการตำรวจว่า "ขอตู้เย็น 1 เครื่องให้ตำวรจที่... เอาไว้เก็บอาหารไว้กิน"

 

เมื่อครั้งหนึ่ง มีเหตุการณ์นำ้ท่วมแรง พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงตรัสถามทางโทรพิมพ์ ถึงตี 1 ตี 2ถามเรื่องยๆจนเจ้าหน้าที่ปลายทางทูลบ่น เมื่อตี 3 ว่า "ไม่รู้จักหลับจักนอนหรือไง" แต่ก็ไม่ลืมบอกว่า"น้ำลดแล้ว"

เมื่อครั้งหนึ่ง กรมศิลปากรไม่มีครูที่จะประกอบพิธีไหว้ครู เพราะเนื่องจากไม่มีการมอบหมายหน้าที่เอาไว้ ในที่สุดเพื่อแก้ปัญหานี้ ต้องไปทูลเชิญพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะว่าทรงเป็นเสมือนสมตุิเทพ ต้องให้ทรงเป้น ผู้มอบหมาย เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า "จะให้เป็นครูใหญ่ใช่ไหม"

พระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงได้ัรบปริญญาบัตรมากมาย ครั้งหนึ่งเมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ตรัสว่า "ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว" ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก ตรัสอีกว่า "ในตอนนี้เราเป็นหมอลำ"

เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปรพระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโโยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่ระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดูลถามว่า "ไปไหมเสี่ย" ปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล โโยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงร้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร

นอกจากนี้ยังโปรดจะเสด็จพระดำเนินระยะไกลตามชายทะเลจาหน้าพระราชวังอีกด้วย และเสด็จกลับมาใน ตนอเย็นๆ เมื่อเสด็จกลับถึงปรากฏวา ทหารนั้นไม่ให้พระองค์เข้า "ไม่ได้ครับ ไม่มีบัตรผ่านเข้าไม่ได้" ทหารทูล "ขอโทษที ฉันไม่มีบัตร แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ เธอมีธนบัตรไหม"ทรง ตรัสตอบ ทหารว่า มีครับ ทำไมหรือ ก็ตรัสว่า "นั่นแหละบัตรของฉัน"


เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพฯ ไปทอดพระเนตรกิจการตาม พระราชดำริ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวกล้องอยู่ด้วย พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า "ข้าวกล้องนี้ดี เรากินข้าวกล้องทุกวัน" สมเด็จพระเทพฯเห็นว่า น่าสนใจแต่นักข่าว ไม่สนใจเท่าไรจึงตรัสว่า "น่าสนใจนะ น่าจะเก็บไว้" ก็เลยมีการทูลขอให้ทรงตรัสอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระ เทพฯก็ทรงช่วยเหลือ และนำมาซึ่งคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ "ข้าวกล้องนี้ดี มีประโยชน์ คนอื่นเขาว่าเป็นข้าวของคนจน เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน"

ในการเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรตามหัวเมืองไกลๆ นั้น ต้องตรากตรำพระวรกายเป็นอย่างมาก ทรงหนีบแผนที่อยู่ตลอดเวลา เพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับหมู่บ้านและเส้นทางของแม่น้ำลำธาร ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการวางแผนพัฒนา นอกจากนั้นแล้วยังทรงมีปัญหาเรื่องอื่นๆ อีกร้อยแปด จะต้องเสด็จฯ ไปงานพระราชพิธีต่างๆ จะต้องเสด็จฯ ออกรับแขกเมืองชาวต่างประเทศที่ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายของบ้าง ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบ้าง ฯลฯ เยอะแยะไปหมด การที่ทรงสามารถรับพระราชภาระอันหนักเช่นนี้อยู่ได้นานนับสิบๆ ปี ก็เพราะทรงมีพระราชอารมณ์ขันนั่นเองเป็นทางระบายความเครียด ข้าราชบริพารและตำรวจทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี และมักเล่าสู่กันฟังด้วยความชื่นชมในพระราชอารมณ์ขันของพระองค์อยู่เสมอ


นายตำรวจคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ในการเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากจะกราบทูลด้วยราชาศัพท์แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดี และความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชาศัพท์ แต่ถึงกระนั้น กำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบทูลให้ถูกต้องตามแบบแผนอุตส่าห์ไปซ้อมมาเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ แต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็สั่นเทิ้มด้วยฤทธิ์ประหม่า รายงานตัวออกไปว่า
"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า……"
"เราพวกเดียวกันนะ…." รับสั่งด้วยความเมตตาอย่างพ่อพูดกับลูก
ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เลยเปลี่ยนใจมากราบทูลด้วยภาษาธรรมดา



เรื่องราชาศัพท์นั้น อย่าแต่ว่าชาวบ้านแถวร้อยเอ็ดหรือทุ่งสงเลย ขนาดอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ยังประหม่า ใช้ถูกใช้ผิดเพราะไม่เคยชิน ก็เลยต้องอึกๆ อักๆ แต่มีอยู่คราวหนึ่ง มีพระราชกระแสรับสั่งกับราษฎรในชนบทกลุ่มหนึ่ง และมีผู้ชายอายุขนาดกลางคนผู้หนึ่ง กราบบังคมทูลชี้แจงชัดถ้อยชัดคำ ใช้ศัพท์แสงอย่างสูงพอดู สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจึงรับสั่งถามเป็นทำนองว่า เคยเข้ารั้วเข้าวังที่ไหนอยู่หรือ จึงพูดจาใช้ราชาศัพท์คล่องแคล่ว
ชายผู้นั้นกราบทูลตอบว่า "ขอเดชะ…พระบารมีปกเกล้าฯ เกล้ากระหม่อมเคยเป็นตัวเอกลิเกมาก่อน พะยะค่ะ
ความลับแตกดังโพละออกมาเลย….ทำเอาขบวนตามเสด็จหัวเราะกันครืนไป


เรื่องพระราชอารมณ์ขันนี้ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ที่มหาวิทยาลัยประสานมิตรปีหนึ่ง เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสแก่ ม.ล.ปิ่นว่า "วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่กิโล"

ม.ล. ปิ่น มาลากุล อึกอัก จนด้วยเกล้าฯ เพราะมิได้ให้ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีชั่งน้ำหนักปริญญาบัตรไว้ก่อน เพื่อกราบบังคมทูลแต่ในปีต่อมา ในโอกาสเช่นเดียวกัน เผื่อเหนียว…อธิการบดีของมหาวิทยาลัย ได้เตรียมพร้อมชั่งน้ำหนักใบปริญญาบัตรจำนวนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า ม.ล.ปิ่น มาลากุล จึงกราบทูลเสียงดังว่า
"วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด 230 กิโลกรัม"
ในทันทีนั้นก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล.ปิ่นว่า"ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรี่ จึงจะพอชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป

มีอยู่คราวหนึ่ง หลังจากปีนเขาขึ้นไปบนสันเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง มีผู้กราบบังคมทูลถามในหลวงว่า ภูเขาลูกใหญ่ที่ปีนเมื่อวานซืนกับลูกนี้ลูกไหนจะสูงกว่ากัน
ในหลวงทรงตรัสตอบว่า
"ลูกวานซืนนี้สูงกว่า เพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูกกว่าจะถึงยอด… แต่วันนี้เพียงสามมะขามป้อมเท่านั้น"
แม้แต่ในยามทรงพระประชวร เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระอาการไข้สูง พระหทัยเต้นไม่เป็นส่ำแต่ก็ยังทรงมีพระอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา

ในฐานะที่เป็นนักดนตรี ได้รับสั่งกับหมอว่าจังหวะการเต้นของพระหทัยนี้ คล้ายๆ กับจังหวะห้าสี่ในทางดนตรี และหลังจากทรงหายพระประชวรแล้ว ก็ทรงแต่งเพลงแจ๊ส จังหวะห้าสี่ขึ้น เพลงหนึ่ง…
…….ให้ชื่อว่า High Fever!

ในระหว่างถวายการรักษานั้น คณะแพทย์ต้องเจาะพระโลหิตกันเกือบทุกวัน วันละ 50 ถึง 100 ซีซี ขณะที่ทรงพระประชวรนี้ มีพระหทัยตั้งสมาธิแน่วแน่ พระอารมณ์แจ่มใส ได้ทรงล้อเลียนคณะแพทย์เมื่อพระอาการทุเลาลงแล้ว โดยทรงรับสั่งว่า คณะกรรมการแพทย์ชุดนี้ รักษาพระอาการแบบโบราณโดยที่ไม่ถวายพระโอสถเลย…แต่ใช้วิธีสูบเลือดออก

เมื่อครั้งบ็อบ โฮ้พ มาแวะกรุงเทพฯ เพื่อจะไปเปิดการแสดงกล่อมขวัญทหารอเมริกันในเวียดนามระหว่างแวะพักตั้งหลักที่กรุงเทพฯ บ็อบ โฮ้พ โชคดีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรฯ โดยโปรกเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย
บ็อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนไปด้วย"
"ได้เลย…..ไม่ขัดข้อง" รับสั่งตอบ "พาเพื่อนของคุณมาได้เลย"
"ต้องขอบพระทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคน ของข้าพระพุทธเจ้าด้วย"
คืนนั้น บ็อบ โฮ้พ ได้นำวงดนตรีของเขา เข้าไปเล่นถวายในวังสวนจิตรฯ อยู่จนดึก จึงกราบทูลเชิญเสด็จฯ ที่บ้านพักของเขา รับสั่งว่า "ยินดี….ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ"