Web Design by Softbiz+
|
เว็บนี้ สร้างด้วย Joomla! 1.5 โดย ทีมงานซอฟท์บิส+ update11.11.2014 |
เส้นทางสู่ โปรแกรมเมอร์มืออาชีพ |
ประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่ยุค IT ยุคนี้ทุกคนจะต้องใช้อุปกร์ ทาง IT ไม่ว่าจะเป็น PDA โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ตอนนี้ก็อยุ่ที่คุณเอง เลือกจะช่วยไห้ประเทศไทย เดินทางสุ่ยุคนี้ไปในทิศทางได มันก็มีอยู่ 2 ทิศทาง คือ ผู้ใช้ กับผู้สร้าง ถ้าเป็นผู้ใช้ นั่นก็หมาย ความว่า ประเทศไทย จะต้องจ่ายเงิน จากระเป๋า เพื่อซื้อ Software เงินก้จะใหลออกนอกประเทศ แต่ถ้าเป็นผู้สร้าง นี่หล่ะคือจุดสำคัญแห่งความยิ่งใหญ่ เราจะเป็นผู้รับเงินจากต่างประเทศ เอาหละตัสินใจว่าจะช่วยประเทศทางไหน ถ้าคุณเลือกเป็นผู้สร้าง คุณจะต้องเป็นProgrammer และการที่คุณจะ ไปสู่จุดหมายนั้นคุณ จะต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ ต้องทำให้ได้ 5 ข้อ ดังต่อ ไปนี้ครับ 1. สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่ 2. ฝึกเขียนโปรแกรม 3. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม 4. เผยแพร่ผลงาน 5. กระทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ นี่คือ 5 ข้อหลักของโปรแกรมเมอร์ ถ้าหากคุณทำได้ทั้ง 5 ข้อนี้ คุณก็จะได้เป็น โปรแกรมเมอร์ มืออาชีพ เลยทีเดียว เรามาดูรายละเอียดของแต่ละข้อกันเลยดีกว่าครับ ว่ามีราบละเอียดอย่างไรบ้าง 1.สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่เรามาสำรวจดูตัวเราก่อนว่า เหมาะสมกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ หรือไม่ ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณต้องการเป้นโปรแกรมเมอร์ อย่างจริงจังหรือไม่ แล้วถ้าเราไม่ได้จบ คอมพิวเตอร์มาหล่ะ เราเป็นโปแกรมเมอร์ได้หรือไม่ ตรงนี้ ผมเองก็ขอตอบจากความรู้สึก สวนตัวเลยว่า ไม่จำเป็นครับ เราลองทบทวนและ มองโลกให้กว้างครับ ว่าโปรแกรมเมอร์ ที่เก่งๆ หลายคน ไม่ได้จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง และอีกหลายคนก็จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง แต่บางคนจบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง ก็เขียนโปรแกรมไม่เป็น เป็นแค่ งูงูปลาปลา ก็ถมไป สาเหตุมาจากอะไรหรือครับ ใจเขาไม่รักกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ไงครับ ดังนั้นวุติการศึกษาไม่ใช่อุปสรรค ในการเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ สาเหตุ ทีผมบอกว่า วุฒิการศึกษา ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็เนื่องจาก ตอนเรายังเด็ก เราไม่ได้เลือกเรียนสายการเรียน ที่เรารักครับ แต่เราเลือกเรียน ตามเพื่อนบ้าง ตามพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการบ้าง เพราะในช่วงวัยนั้น เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มักตามเพื่อน หรือบางคนเรียนเพื่อตามใจพ่อแม่ แต่พอมาถึงวัยหนึ่ง เราก็มารู้ตัวว่าเราไม่ได้ชอบมันเลย ก็ทำให้เราเสียเวลาไปมากแล้ว จะกลับไปเรียน หรือก็ เสียค่าใช้จ่ายมาก แล้วแต่เหตุผล ของแต่ละคนไป ดังนั้นผมจึงขอ แนะนำว่า จงอย่ายึดติดกับค่านิยมของ คำว่าวุติการศึกษา ปริญญา ต่างๆ ทั้งสิ้นหากเราอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ มันอยูที่เราต้องการจะเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่ต่างหาก รักการเป็นโปรแกรมเมอร์ มากแค่ไหน ก็ทุ่มเทให้กับมันเต็มที่ คุณมีความเพรียรพยายามหรือไม่ เพราะการเป็นโปรแกรมเมอร์ จพต้องมีความเพรียร ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา ต่างๆ เมื่อเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา หากคุณเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา คุณต้องพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด หากคุณยอมแพ้ คุณก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้น ความเพรียรพยายาม เป็นกติกาสำคัญข้อหนึ่งของโปรแกรมเมอร์เลยทีเดียว ต้องมีความคากเพียรไม่ย่อท้อต่อสิ่งได และจะยอมแพ้ก้ต่อเมื่อ หาหนทางจนสุดกู่แล้วก็ไม่พบ จึงจะยอมแพ้ แต่การยอมแพ้ ต้องยอมแพ้อย่าง โปรแกรมเมอร์ คือ ยอมแพ้ในเวลานั้น เท่านั้น แต่เก็บมันเอาไว้เป้นการบ้าน ค่อยคิดค่อยหาทางแก้ปัญหา มันอีกทีหลังไปเรื่อยๆ มันต้องทำได้สิ สักวันคุณก็จะแก้ปัญหาได้ หมายความว่า ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ก็อย่าจมอยู่กับมัน แต่ พักมันเอาไว้ก่อนต่างหากหล่ะ สุดท้ายก็แปลว่า ไม่ยอมแพ้นั่นเอง โปรแกรมเมอร์จะต้องคิด อย่างที่คนอื่นเขาไม่คิด ทำในสิ่งที่ตนอื่นเขาไม่ทำ หมายความว่า เราต้องคิด ในสิ่งที่คนอื่น คิดไม่ถึง ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ เพราะโปรแกรมเมอร์ จะต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมาเสมอ ดังนั้น หากเราคิดแต่จะทำตามคนอื่น ลอกเรียนแบบคนอื่นๆ อยู่ เราก็ไม่สามารถพัฒนาโปรแกรมของเราให้คนอื่น เขารู้สึก ประทับใจ และต้องการได้ เพราะอะไรก็ตามที่ง่ายๆ หลายคนก็มักจะทำกัน หาที่ไหนก็ได้ ราคาและคุณค่าเลยไม่มี แต่ถ้าอะไรที่ยากๆ หายาก ไมาค่อยมีคนทำ หรือไม่มีใตรทำเลย นั่นแหละครับ ของสิ่งนั้นมันจะมีค่า น่าจดจำและประทับใจ 2.ฝึกเขียนโปรแกรมเมื่อคุณสำรวจตัวของคุณเองแล้วว่าคุณมีคุณสมบัติตามข้อ 1 คุณก็กระทำตามข้อ 2 ต่อไปนี้ แต่ถ้าคุณยังไม่มีคุณสมบัติตามข้อ 1 มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ครับ ทางที่ 1 คุณก็ควรจะเลิกลมความตั้งใจที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพได้แล้วครับ เพราะคุณฝืนไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะสิ่งที่คุณจะเจอเมื่อเป็นโปแกรมเมอร์ นั้นมันช่างเต้มไปด้วยสิ่งตื่นเต้น และปัญหามากมายเสียเหลือเกิน ล้มคเลิกความคิดเสียเถิด อย่าเป็นมันเลย โปแกรมเมอร์นี่ แต่ถ้าคุณยังมีคว่มต้องการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ อยู่หล่ะก็ ข้อที่ 2 ที่ปมจะแนะนำคือ กระทำตามข้อ 1 ให้สำเร็จครับ เมื่อคุณกระทำสำเร็จ ตุณก็มีคุณสมบัติ พร้อมที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้นเมื่อคุณ พร้อมตามคุณสมบัติแล้ว คุณจะต้องกระทำ ข้อนี้ครับ ฝึกฝนตัวเองให้เก่งกล้าสามารถ ครับ โดยการฝึกเขียนโปแกรม แล้วจะเขียนโปแกรมภาษาอะไรดี นี่ไง ที่โปรแกรมเมอร์ หลายคนต่อหลายคนเจอปัญหา แล้วไปไม่ถึงฝัน เพราะทุดคนคิดแต่เพียงว่า อะไรที่ง่ายๆ นี่หล่ะ ทำตรงนี้หละ ถ้าคิอย่างนี้เหมะสมกับอาชีพอื่นครับไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จเป็น โปรแกรมเมอร์ เพราะจะใช้คำว่า เริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก นั้นผิดครับ สำหรับการเป็นโปแกรมเมอร์ เพราะมันจะทำให้เรายึดติดและท้อถอยง่ายๆ เมือเจอปัญหา ดังนั้นคุณควรเลือกเรียนภาษา ที่ยากๆ ไว้ก่อน เพราะว่าภาษาคอมพิวเตอร์ อะไรก็ตามที่ยากๆ เขียนยาก ย่อมเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากที่สุด เพราะการเขียนโปรแกรมนั้น เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อบอกให้คอมพิวเตอร์ ทำงานตามเรา ดังนั้น การเข้าถึงและเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์ เข้าใจมากเท่านั้น แล้วจะใช้ภาษา อะไรดี ขอแนะนำดังนี้ครับ ภาษาที่ ทีเครื่องมือ แบบ Visual ช่วยเยอะแยะไปหมด ย่อมมีขีดจำกัดของมัน ภาษาที่มีเครื่องมือแบบ Visual น้อย ก็จะลดขีดจำกัดลงได้ครับ ดังนั้นขอแนะนำภาษา จากยากไปหาง่าย เพียงบางตัวดังนี้ครับ Assembly, C++, C++ Builder, C# Builder, Visual C++, Visual C#, Delphi7,Pascal, Delphi8 for .Net, Visual Basic.Net, Visual Basic เป็นต้น จะสังเกตุเห็นว่า Assembly เป็นภาษาที่เข้าไกล้ภาษาเครื่อง มากที่สุด เขียนยาก ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ เขียนง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ Builder ก็เขียนว่าย ขึ้นมาอีกนิด มี Tools ช่วยพอประมาณ ต่อมาเป็น C# Builder ก็มี Tools ช่วยมากมาก เขียนง่ายเข้าไปอีกระดับ จนสุดท้าย Visual Basic โอ้พระเจ้า Tools เพียบ เขียนง่ายมากๆ แค่ เขี่ยๆ ก็เสร็จแล้วครับ งายจริงๆ ไม่ต้องใช้สมองในการคิดเลย ช่วยให้เราเบาสมองไปได้เยอะ และทำให้สมองเราไม่ได้ใช้งาน เป็นใงครับ เมือสมองไม่ได้ใช้งาน ก็สมองตื้อสิครับ ทีนี้ ก็เป็นอันว่า เลือกเอาภาษาที่คุณชอบ แต่ อย่าทิ้งภาษาอื่นนะครับ เพราะภาษา ง่ายๆ นี้ก็ยังช่วยเราได้เยอะเช่น ความต้องการของโปรแกรมแบบ ง่ายๆ ก็ใฝช้ภาษาง่ายๆ เขียน ทุ่นเวลาดี ดังนั้น ขอแนะนำให้ฝึกทุกตัว แต่ ยึดภาษายากๆ เป็นหลักไว้ 1 ตัว เพื่อสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ คุณควรฝึกเขียนโปรแกรมอย่าง สม่ำเสมอ ครับ จะได้คล่อง และควรเริ่มฝึกจากถาษา ยากๆ เป็นอันดับแรก ฝึกฝนจนชำนาญ อย่าละทิ้งนะครับ 3.ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากที่คุณผ่าน ข้อ 1 และข้อ 2 มาแล้ว ข้อ 3 นี้เป็นข้อที่คุณขาดไม่ได้เลยทีเดียว เนื่องจากการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพนั้น ก็คือการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม อยู่เสมอ โปรแกรมเมอร์ จะต้องเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง จะต้องเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเราหยุดนิ่ง เราจะตามโลกไม่ทัน เพราะเทคโนโลยีทุกวันนี้ ก้าวไกลและรวดเร็ว เสียเหลือเกิน หากเราหยุดเดินเพียงก้าวเดียว เราอาจตามโลกไม่ทัน อีกหลายพันก้าว เลยทีเดียว ดังนั้นการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีใคร เก่งที่สุด และเก่งไปหมดทุกอย่าง ดังนั้น ความรู้ เปรียบดังอาวุธ เอาไว้ต่อสู้กับความไม่รู้ ข้อมูลคือมูลเหตุแห่งความรู้ เราจงค้นหาข้อมูล มาเพิ่มเติมความรู้ให้กับตัวเราเองเถิด การที่เราค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอนั้น ไม่ใช่แค่เป็นการเพิ่มพูนความรุ้เท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมของเราด้วย เนื่องจากการเขียนโปรแกรมทุกครั้ง เราขะต้องติดปัญหาเสมอ รับรองได้ ไม่มีโปรแกรมเมอร์คนใด ที่เขียนโปรแกรมโดยไม่มีติดปัญหาเลย จะต้องมี ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาข้อมูลเข้ามาช่วยแก้ไข ดังที่ว่า ไม่มีใครเก่งไปทุกอย่าง เราเก่งจุดหนึ่ง อีกคนเก่งจุดหนึ่ง เมื่อนำมารวมกัน ก็จะขจัดความไม่เก่ง ของแต่ละคนได้ ก็จะขจัดปัญหาได้ โดยการแลกเปลี่ยน ความรู้ซึ่งกันและกัน ปัญหาต่างที่พบก็จะคลี่คลายลงได้ แต่ถ้ามัวแต่คิดอยู่คนเดียว หัวของคุณอาจระเบิดตูม ขึ้นมาก็ได้ จริงไหมครับ นอกจากเป็นการช่วยแก้ปัญหาในการเขียนโปรแกรมแล้ว การคนหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอ ยังช่วยให้เรารุ้ความต้องการของโลกปัจจบัน ว่าต้องการอะไร ขาดอะไร เราสามารถนำความต้องการเหล่านั้น มาพัฒนาเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ด้วยฝีมือของเราเอง ออกสู่ท้องตลาดได้ หากเราผลิตผลงานที่ไม่ตรงกับความต้องการของมนุษย์ แน่นอน ผลงานนั้น ย่อมไม่มีค่า และไม่มีความหมายใดๆ เลย เพราะความรู้ จะนำเราไปสู่โลกแห่งความจริง และมองออกถึงโลกอนาคต เพราะคุณจะกลายเป้นคนที่รู้จักวิเคราะห์ หาเหตุ และ ผล แห่งความเป็นไป เราจึงรู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น และ จะต้องทำอะไรต่อไป เมื่อเรารู้ เราก็ย่อมจะผลิต ผลงานการเขียนโปรแกรมที่มีคุณภาพ ออกสู่ท้องตลาด อย่างตรงจุดประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายได้ แล้ว… แหล่งค้นคว้าข้อมูลหล่ะ อยู่ที่ไหน ตรงนี้ มีเต็มไปหมดเลยครับ อันได้แก่ หนังสือวารสาร ต่างๆ หนังสือวิชาเฉพาะด้าน มากมายเต็มไปหมดเลย ทางรายการตาม สถาณีวิทยุ โทรทัศน์ ก็มี สารคดีต่างๆ แม้กระทั่งสื่อ CD-ROM ต่างๆ และที่ค้นหาข้อมูล ได้อย่างมหาศาล ก็คือ Web site ใงครับ เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ เหมือนกัน และโดยมากแล้ว จะเป็นข้อมูลที่มีการ Update บ่อย และเป้นข้อมูล Share จากประสบการณ์ ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ ด้วยกัน ดังนั้นเราก็รู้แล้วว่า แหล่งจ้อมูลมีมากมาย สุดแล้วแต่ที่เราจะหาได้ ใครชอบแบบใหน ก็เอาอย่างนั้นครับ แต่ผมว่า ค้นหาข้อมูลทุกรูปแบบ ครับดีกว่าหาข้อมูลจากแหล่งเดียว จะได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน วิธีการเลือกซื้อหนังสือ ก็เหมือนกัน พยายาม เลือกซื้หนังสือที่เหมาะสม และน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะ หนังสือแปล ที่แปลมาจากหนังสือภาษาต่างประเทศ ต้องดุให้แน่ใจว่า ผู้แปล หนังสือเล่มนั้น ต้องเป็น โปรแกรมเมอร์ ไม่ใช่นักแปลภาษาอังกฤษ เพราะ ศัพท์ บางคำ ที่เป็นภาษาของโปรแกรมเมอร์ ไม่ได้มีความหมาย ตรงกับความหมาย ของนักแปลภาษาทั่วไป ผมเห็นหลาย ต่อหลายเล่ม ที่แปลผิด น่าสงสาร แม้กระทั่ง ครูผู้สอนเองยังนำเอาสิ่งผิดๆ นั้นไปสอนนักเรียน ต่ออีก แล้วเมื่อไร เราจะได้โปรแกรมเมอร์ที่รุ้จริง อย่างที่ผมเห็นมา การแปล เรื่อง Object และ Class ดันไปแปลว่า Class คือพิมพ์เขียว พิมพ์เขียวอะไรกัน มั่วกันไปใหญ่ นักเรียน ตามมหาวิทยาลัย ก็นำเอาความรู้ที่ผิดๆ นัน มาใช้กัน จนชั่วลูกชั่วหลาน แล้วเมื่อไร คนไทยจะมีโปรแกรมเมอร์ระดับ มืออาชีพ เก่งๆ กับเขาสักที อย่างนี้แหละ ที่ผมจะบอกว่า อย่าเชื่อหนังสือมากนัก จงเชื่อโปรแกรมเมอร์ดีกว่า ครับ แล้วเราจะได้ไม่เสียดาย เงินที่ซื้อหนังสือ จะซื้อที ต้องได้หนังสือดีมีคุณค่า จริงใหมครับ 4.เผยแพร่ผลงานเมื่อเรามีผลงานของเราออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ เผยแพร่ผลงาน ออกสู่ สาธานณะชน เพื่อให้คนอื่นได้เห็น ได้สัมผัสกับผลงานของเรา หากเราไม่นำผลานของเราออกเผยแพร่สู่สายตา ของคนอื่น แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเขียนโปรแกรมเป็น มีฝีมือขนาดไหน การเผยแพร่ผลงานนี่แหละ มีประโยชน์ที่สุด เพราะการที่เรามีผลงานเผยแพร่ออกไป ให้หลายคนเห็น หลายคนรู้ ต่อไปคุณก็จะมีชื่อเสียง มีหลายคนรู้จัก อีกไม่นาน งานและเงิน จะมาหาคุณเองโดยที่คุณแทบตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว เพราะอะไรหรือครับ ก็เขาเชื่อมั่นในตัวคุณแล้วใงครับ จากผลงานที่คุณได้ เผยแพร่ออกไป อย่างโบราณเขาว่า สวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ ใงครับ แล้วเราจะเผยแพร่ผลงานอย่างไร ไม่ยากครับ วิธีแรก ง่ายที่สุดเลยครับ ส่งตัวอย่างโปรแกรมให้กลุ่มเป้าหมายไปทดลองใช้ วิธีนีได้ผลดีทีเดียวครับ สำหรับคนที่กว้างขวาง รุ้จักคนเยอะแยะไปหมด ก็ทำได้ง่าย แล้วคนที่ไม่ค่อยรู้จักใครหล่ะ ก็มีวิธีเช่นกันครับ ก็โดยการเผยแพร่ผลงานผ่าน Web site ใงครับ เช่นเข้าไปช่วยตอบกระทู้คำถาม ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ต่างๆ ตาม Web board หรือ Forum Board ต่างๆ เมื่อเราเข้าไปช่วยตอบ ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ นั่นแหละครับ หมายความว่าคุณได้สร้างผลวานออกไปแล้ว และถ้าหาก อยากเผยแพร่ผลงานอะไรออกไป แต่ไม่มีใครถามสักที ก็ตังคำถามเองเสียเลย และคอยดูว่าจะมีคนสนใจคำถามนั้นหรือไม่ พอมีคนตอบ มา เราก็ไปเสริมสักหน่อย หรืออีกอย่าง เราก็ตังกระทู้เป็น เนื้อหาไปเลยไม่ใช้คำถาม เป็นบทความบทความหนึ่งไปเลย นี่ก็นับเป็นการเผยแพร่ ผลงานอีกวิธีหนึ่ง และค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว ส่วนอีกวิธี ก็คือ เผยแพร่ตัวอย่าง Source Code ไปเลยครับ วิธีนี้ได้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียวครับ เพราะเป็นทั้ง บทความ และมี Source Code ตัวอย่างให้ Download อีกต่างหาก วิธีนี้รับรองประทับใจหลายคนเลยทีเดียวครับ หลายคนก็บอกว่า จะลงเนื้อหา บทความได้ที่ไหน เพราะ Web board หรือ Forum board หลายที่ จำกัดจำนวนตัวอักษรในการลง ทำให้ลงเนื้อหาได้ไม่หมด เอาหล่ะตรงนี้ ผมก็เห็นใจ ผมเลยตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อเป็นสื่อกลางนั้น โดยการปรับปรุง Forum board ขึ้นหมาใหม่ ไม่จำกัดตัวอักษรใน และสามารแทรกรูปภาพในเนื้อหาได้ เป็นลักษณะ Visual HTML Editor เพื่อให้ทุกคนสามารถเผยแพรผลงานออกไป พร้อมทั้งไปนั้งหลังขดหลังงอ สร้าง Code Develop ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามาถ ที่จะส่งบทความพร้อม Source Code เพื่อเผยแพร่เช่นกัน หน้าตาคล้ายกัน ที่นี่ จะให้ความสำคัญและ สนับสนุนทุกคนครับ 5.กระทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอทำไมเราต้องทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ ก็เพราะว่า เราจะได้ฝึกฝน อยุ่ตลอดเวลา เพราะการฝึก ทำให้เราแกร่ง และเราก็จะได้เป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพใงครับ ถ้าเราขาดการฝึกฝน เราก็จะอยู่กับที่ ก้าวไม่ทันโลก แล้วก็ไม่มีโอกาส ได้เป็นมืออาชีพดังใจหวังไว้ นะสิครับ
ที่มา http://www.idatabase.in.th/2010/11/17/professional-programer |